HIIT คืออะไร? วิธีออกกำลังกายแบบ HIIT ที่ช่วยเผาผลาญไขมันได้ดีกว่าออกกำลังกายแบบทีั่วไป

HIIT คืออะไร? วิธีออกกำลังกายแบบ HIIT ที่ช่วยเผาผลาญไขมันได้ดีกว่าออกกำลังกายแบบทีั่วไป

HIIT (High-Intensity Interval Training) เทคนิคการออกกำลังกายที่ใช้เวลาน้อยแต่ได้ผลเกินคาด

HIIT หรือการออกกำลังกายแบบหนักสลับเบา เป็นวิธีการออกกำลังกายที่ปฏิวัติวงการฟิตเนสในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยหลักการพื้นฐานคือการผสมผสานระหว่างการออกแรงอย่างหนักในช่วงเวลาสั้นๆ (80-95% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด) สลับกับช่วงพักหรือการเคลื่อนไหวเบาๆ อย่างเป็นระบบ

สารบัญ

การทำ HIIT มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับใช้ได้กับการออกกำลังกายหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน หรือการเล่นเวทเทรนนิ่ง ตัวอย่างเช่น ในการวิ่งแบบ HIIT คุณอาจวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 30 วินาที แล้วเดินหรือวิ่งเหยาะๆ 15-30 วินาที ทำซ้ำแบบนี้ประมาณ 15-30 นาที

ความพิเศษของ HIIT อยู่ที่การกระตุ้นระบบพลังงานของร่างกายทั้งแบบใช้ออกซิเจน (Aerobic) และไม่ใช้ออกซิเจน (Anaerobic) สลับกัน ทำให้ร่างกายต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดการพัฒนาสมรรถภาพทางกายในหลายด้านพร้อมกัน ทั้งความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ระบบหัวใจและหลอดเลือด และความอดทน

นอกจากนี้ การออกกำลังกายแบบ HIIT ยังเหมาะกับคนที่มีเวลาจำกัด เพราะใช้เวลาน้อยกว่าการออกกำลังกายแบบดั้งเดิม แต่ให้ผลลัพธ์ที่ดีไม่แพ้กัน หรือบางกรณีอาจดีกว่าด้วยซ้ำ งานวิจัยจาก Journal of Exercise Science & Fitness (2024) พบว่าการทำ HIIT 20 นาที ให้ผลในการเผาผลาญแคลอรี่เทียบเท่ากับการวิ่งแบบปกติ 45-60 นาที

ข้อควรระวังสำคัญในการทำ HIIT คือต้องประเมินความพร้อมของร่างกายก่อนเริ่ม เพราะเป็นการออกกำลังกายที่ใช้พลังงานสูง ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ โดยเฉพาะโรคหัวใจและหลอดเลือด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มโปรแกรม และทุกคนควรเริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัวและลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บ


ทำไม HIIT ถึงเผาผลาญไขมันได้ดีนัก?

HIIT มีกลไกพิเศษในการเผาผลาญไขมันที่แตกต่างจากการออกกำลังกายแบบดั้งเดิม เมื่อเราออกแรงเต็มที่ในช่วงสั้นๆ ร่างกายจะเข้าสู่ภาวะที่เรียกว่า Oxygen Debt หรือ EPOC (Excess Post-exercise Oxygen Consumption) ซึ่งเป็นภาวะที่ร่างกายขาดออกซิเจนชั่วคราว

งานวิจัยจาก Sports Medicine (2023) ได้อธิบายกลไกนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า เมื่อร่างกายอยู่ในภาวะ Oxygen Debt จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาหลายอย่าง เริ่มจากการที่ร่างกายต้องใช้พลังงานสำรองจากกล้ามเนื้อที่เรียกว่า ATP (Adenosine Triphosphate) อย่างรวดเร็ว เมื่อ ATP ถูกใช้หมด ร่างกายจะเริ่มสลายไกลโคเจนในกล้ามเนื้อเพื่อสร้างพลังงาน

ที่น่าสนใจคือ หลังจากการออกกำลังกายแบบ HIIT ร่างกายจะยังคงเผาผลาญพลังงานในอัตราที่สูงต่อไปอีก 24-48 ชั่วโมง ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า Afterburn Effect ซึ่งเกิดจากที่ร่างกายต้องใช้พลังงานเพิ่มขึ้นเพื่อ:

  1. ฟื้นฟูระดับออกซิเจนในเลือดให้กลับสู่ภาวะปกติ
  2. สร้าง ATP กลับคืนมาใหม่
  3. ลดอุณหภูมิร่างกายให้กลับสู่ภาวะปกติ
  4. ซ่อมแซมกล้ามเนื้อที่ได้รับความเสียหายเล็กน้อยจากการออกกำลังกาย

การศึกษาล่าสุดจาก Journal of Applied Physiology (2024) ยังพบว่า HIIT กระตุ้นการผลิตฮอร์โมนที่ช่วยในการเผาผลาญไขมัน เช่น Growth Hormone และ Catecholamines ได้มากกว่าการออกกำลังกายแบบต่อเนื่องที่ความหนักปานกลาง นอกจากนี้ยังพบว่า HIIT ช่วยเพิ่มความไวต่ออินซูลิน ทำให้ร่างกายใช้น้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น และลดการสะสมไขมันในร่างกาย

อีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ HIIT เผาผลาญไขมันได้ดีคือการรักษามวลกล้ามเนื้อไว้ได้ดีกว่าการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอทั่วไป เมื่อมีมวลกล้ามเนื้อมากขึ้น อัตราการเผาผลาญพื้นฐาน (Basal Metabolic Rate) ก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย ทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้นแม้ในยามพัก

วิธีเริ่มต้นออกกำลังกายแบบ HIIT สำหรับมือใหม่

การเริ่มต้น HIIT อย่างถูกวิธีเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การออกกำลังกายมีประสิทธิภาพและปลอดภัย โดยเฉพาะสำหรับผู้เริ่มต้น ตามคำแนะนำจาก American College of Sports Medicine (2024) การเริ่มต้นควรเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามลำดับขั้น

การเตรียมความพร้อมก่อนเริ่ม HIIT

ก่อนเริ่มโปรแกรม HIIT ควรมีการเตรียมร่างกายให้พร้อม เริ่มจากการตรวจสุขภาพเบื้องต้น โดยเฉพาะระบบหัวใจและหลอดเลือด การอบอุ่นร่างกาย (Warm-up) อย่างน้อย 5-10 นาทีเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อเพิ่มอุณหภูมิกล้ามเนื้อและเตรียมระบบไหลเวียนเลือดให้พร้อมทำงาน

โปรแกรมสำหรับผู้เริ่มต้น

สำหรับผู้เริ่มต้น แนะนำให้ใช้อัตราส่วนการออกกำลังกายดังนี้:

สัปดาห์ที่ 1-2

  • อัตราส่วน 1:2 (ออกแรง:พัก)
  • ออกแรงเต็มที่ 20 วินาที
  • พักหรือเคลื่อนไหวเบาๆ 40 วินาที
  • ทำ 4-6 รอบ
  • ความถี่ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์

เมื่อร่างกายแข็งแรงขึ้น (สัปดาห์ที่ 3-4)

  • ปรับเป็นอัตราส่วน 1:1
  • ออกแรง 30 วินาที
  • พัก 30 วินาที
  • เพิ่มเป็น 6-8 รอบ

สัปดาห์ที่ 5 เป็นต้นไป

  • อาจปรับเป็น 2:1
  • ออกแรง 40 วินาที
  • พัก 20 วินาที
  • ทำ 8-10 รอบ

ข้อควรระวังและสัญญาณเตือน

ควรหยุดการออกกำลังกายทันทีหากพบอาการต่อไปนี้:

  • หายใจลำบากผิดปกติ
  • เจ็บหน้าอก
  • วิงเวียนศีรษะ
  • คลื่นไส้
  • ปวดข้อหรือกล้ามเนื้อรุนแรง

รูปแบบการเล่น HIIT ที่เหมาะกับแต่ละระดับ

การเริ่มต้นออกกำลังกายแบบ HIIT ควรเลือกรูปแบบที่เหมาะกับระดับความฟิตของตัวเอง เริ่มจากมือใหม่ที่ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อน ควรใช้เวลาออกกำลัง 15-20 นาที โดยทำความหนัก 20 วินาที พัก 40 วินาที หากเคยออกกำลังกายมาบ้างแล้ว สามารถเพิ่มเป็น 30 วินาที พัก 30 วินาที และสำหรับคนที่แข็งแรงแล้ว อาจทำความหนัก 40 วินาที พัก 20 วินาที

ระดับมือใหม่ (Beginner Level)

สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นออกกำลังกายหรือไม่เคยทำ HIIT มาก่อน ควรเริ่มต้นด้วยระยะเวลารวม 15-20 นาที โดยใช้อัตราการออกแรงที่ 60-70% ของความสามารถสูงสุด ท่าพื้นฐานที่เหมาะสมสำหรับมือใหม่ประกอบด้วยการวิ่งเหยาะๆ สลับเดิน การทำสควอทแบบช้าๆ การเดินขึ้นลงบันได รวมถึงการวิดพื้นแบบดัดแปลงโดยทำบนเข่า และการเดินยกเข่าสูง ท่าเหล่านี้จะช่วยสร้างพื้นฐานความแข็งแรงและความอดทนได้อย่างปลอดภัย

ระดับกลาง (Intermediate Level)

เมื่อผ่านระดับมือใหม่และมีความแข็งแรงพื้นฐานที่ดีแล้ว สามารถเพิ่มระยะเวลาการออกกำลังเป็น 20-30 นาที และเพิ่มความเข้มข้นเป็น 70-85% ของความสามารถสูงสุด ในระดับนี้สามารถทำท่าที่ท้าทายขึ้น เช่น การวิ่งความเร็วปานกลางสลับเดินเร็ว การทำเบอร์พีแบบดัดแปลง การกระโดดเชือก การทำสควอทจัมพ์ และเมาน์เทนไคลม์เบอร์ ซึ่งจะช่วยพัฒนาความแข็งแรงและความอดทนให้สูงขึ้น

ระดับสูง (Advanced Level)

สำหรับนักกีฬาหรือผู้ที่มีความฟิตระดับสูง สามารถเพิ่มระยะเวลาเป็น 25-35 นาที ด้วยความเข้มข้น 85-95% ของความสามารถสูงสุด ท่าออกกำลังกายในระดับนี้จะมีความท้าทายสูง เช่น การสปรินท์ความเร็วสูง การทำเบอร์พีแบบเต็มรูปแบบ การฝึกพลัยโอเมตริก การกระโดดกล่อง และการทำคอมเพล็กซ์เซอร์กิต ซึ่งจะช่วยพัฒนาสมรรถภาพร่างกายให้ถึงขีดสุด

การผสมผสานและปรับแต่ง

การออกกำลังกายแบบ HIIT สามารถปรับเปลี่ยนและผสมผสานได้หลากหลายรูปแบบ เช่น การใช้ Tabata Protocol ที่ใช้เวลา 20 วินาทีในการออกแรงสลับกับการพัก 10 วินาที หรือการทำ Circuit Training ที่ผสมผสานท่าต่างๆ เข้าด้วยกัน โดยสามารถปรับความหนักเบาให้เหมาะกับสภาพร่างกายและเป้าหมายของแต่ละคน

อุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการทำ HIIT

การทำ HIIT ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ราคาแพง เราสามารถใช้น้ำหนักตัวเองในการออกกำลังได้ แต่หากต้องการเพิ่มความท้าทาย อาจเพิ่มอุปกรณ์พื้นฐานอย่างเชือกกระโดด ดัมเบล หรือ เสื่อโยคะ สำหรับคนที่ชอบวิ่งแบบ HIIT อาจใช้ลู่วิ่งหรือพื้นที่โล่งสำหรับวิ่ง เพียงเท่านี้ก็เพียงพอสำหรับการออกกำลังกายแบบ HIIT แล้ว

อุปกรณ์พื้นฐาน

เริ่มต้นจากอุปกรณ์พื้นฐานที่จำเป็น เสื่อโยคะหรือเสื่อออกกำลังกายเป็นอุปกรณ์แรกที่ควรมี เพราะช่วยรองรับร่างกายและลดแรงกระแทกในขณะออกกำลังกาย นาฬิกาจับเวลาหรือแอพพลิเคชั่นจับเวลาในโทรศัพท์มือถือก็มีความสำคัญในการควบคุมช่วงเวลาออกกำลังกายและพัก

อุปกรณ์เสริมสำหรับเพิ่มความท้าทาย

เมื่อร่างกายแข็งแรงขึ้น การเพิ่มอุปกรณ์เสริมจะช่วยยกระดับการออกกำลังกาย เชือกกระโดดเป็นอุปกรณ์ราคาประหยัดที่ช่วยเพิ่มความเข้มข้นของการออกกำลังกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดัมเบลหรือเคตเทิลเบลสามารถนำมาใช้เพิ่มแรงต้านในท่าออกกำลังกายต่างๆ ทำให้กล้ามเนื้อได้รับการพัฒนามากขึ้น

อุปกรณ์สำหรับการวัดและติดตามผล

การติดตามความก้าวหน้าเป็นส่วนสำคัญของการออกกำลังกายแบบ HIIT นาฬิกาวัดอัตราการเต้นของหัวใจหรือสายรัดอัจฉริยะช่วยให้เราสามารถควบคุมความเข้มข้นของการออกกำลังกายได้อย่างแม่นยำ ตามคำแนะนำจาก American Heart Association (2024) การรักษาอัตราการเต้นของหัวใจให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสมจะช่วยให้การออกกำลังกายมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น

อุปกรณ์สำหรับการฝึกเฉพาะทาง

สำหรับผู้ที่ต้องการเน้นการฝึกในรูปแบบเฉพาะ อาจพิจารณาอุปกรณ์เพิ่มเติม เช่น จักรยานนิ่ง ลู่วิ่งไฟฟ้า หรือเครื่องพายเรือ อุปกรณ์เหล่านี้ช่วยให้สามารถทำ HIIT ได้ในที่ร่ม ไม่ว่าสภาพอากาศจะเป็นอย่างไร และยังช่วยให้ควบคุมความเข้มข้นของการออกกำลังกายได้แม่นยำยิ่งขึ้น

การดูแลและบำรุงรักษาอุปกรณ์

การดูแลอุปกรณ์ออกกำลังกายอย่างถูกวิธีจะช่วยยืดอายุการใช้งานและรักษาประสิทธิภาพของอุปกรณ์ ควรทำความสะอาดอุปกรณ์หลังใช้งานทุกครั้ง ตรวจสอบสภาพอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอ และเก็บรักษาในที่เหมาะสม ไม่โดนแดดหรือความชื้นโดยตรง เพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพก่อนเวลาอันควร


การออกกำลังกายแบบ HIIT ประโยชน์ที่เหนือกว่าการออกกำลังกายทั่วไป

HIIT (High-Intensity Interval Training) หรือการออกกำลังกายแบบหนักสลับเบา เป็นรูปแบบการออกกำลังกายที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง มาดูกันว่าทำไมการออกกำลังกายแบบนี้ถึงได้รับความนิยมและมีประโยชน์มากมาย

1. เผาผลาญแคลอรี่อย่างมีประสิทธิภาพ

การออกกำลังกายแบบ HIIT ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อเราออกกำลังกายด้วยความเข้มข้นสูงในช่วงเวลาสั้นๆ ร่างกายจะเข้าสู่ภาวะที่เรียกว่า EPOC (Excess Post-exercise Oxygen Consumption) หรือที่เรียกว่า “การเผาผลาญหลังออกกำลังกาย” ซึ่งทำให้ร่างกายยังคงเผาผลาญพลังงานต่อเนื่องไปอีก 24-48 ชั่วโมงหลังจากการออกกำลังกาย

2. ประหยัดเวลาแต่ได้ผลลัพธ์ที่ดี

นอกจากนี้ HIIT ยังเป็นการออกกำลังกายที่ใช้เวลาน้อยแต่ให้ผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยม โดยทั่วไปการทำ HIIT ใช้เวลาเพียง 15-30 นาทีต่อครั้ง แต่ให้ผลลัพธ์ในการเผาผลาญไขมันและเพิ่มความแข็งแรงเทียบเท่ากับการวิ่งหรือปั่นจักรยานต่อเนื่องนานกว่า 1 ชั่วโมง ทำให้เหมาะสำหรับคนที่มีเวลาจำกัดแต่ต้องการผลลัพธ์ที่ดี

3. เสริมสร้างสมรรถภาพหัวใจและหลอดเลือด

การออกกำลังกายแบบ HIIT ช่วยพัฒนาระบบหัวใจและหลอดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ การสลับระหว่างช่วงที่หนักและเบาช่วยให้หัวใจแข็งแรงขึ้น เพิ่มความสามารถในการรับออกซิเจนสูงสุด (VO2 max) และช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4. รักษามวลกล้ามเนื้อ

ที่สำคัญไปกว่านั้น การออกกำลังกายแบบ HIIT ช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อไว้ได้ดีกว่าการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอทั่วไป เนื่องจากความเข้มข้นสูงของการออกกำลังกายกระตุ้นการสร้างและซ่อมแซมกล้ามเนื้อ ทำให้ร่างกายเผาผลาญไขมันแทนที่จะสลายกล้ามเนื้อ

5. ปรับปรุงความไวต่ออินซูลิน

อีกประการหนึ่งที่สำคัญคือ HIIT ช่วยปรับปรุงการตอบสนองต่ออินซูลินของร่างกาย ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงและช่วยป้องกันโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การศึกษาหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่าการออกกำลังกายแบบ HIIT สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีกว่าการออกกำลังกายแบบต่อเนื่องที่ความหนักปานกลาง

อย่างไรก็ตาม ก่อนเริ่มโปรแกรม HIIT ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการออกกำลังกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีโรคประจำตัวหรือไม่เคยออกกำลังกายมาก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าการออกกำลังกายแบบนี้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของคุณ

10 ท่า HIIT พื้นฐานที่ทำได้ที่บ้าน

1. Burpees – ท่าเผาผลาญไขมันทั้งตัว

ขั้นตอนการทำ:

  1. ยืนตรง เท้าห่างกันประมาณช่วงไหล่
  2. ย่อตัวลง วางมือลงบนพื้น
  3. กระโดดเหยียดขาไปด้านหลัง เข้าสู่ท่าวิดพื้น
  4. ทำวิดพื้น 1 ครั้ง
  5. กระโดดดึงขากลับ
  6. กระโดดขึ้นพร้อมยกมือตบเหนือศีรษะ

จังหวะ: ทำต่อเนื่อง 30 วินาที พัก 15 วินาที ทำ 3-4 รอบ

เคล็ดลับจากประสบการณ์: การทำ Burpees ที่มีประสิทธิภาพ ควรรักษาจังหวะให้สม่ำเสมอ หายใจเข้าตอนย่อตัว และหายใจออกตอนกระโดด ที่สำคัญ อย่าลืมกางขาให้กว้างพอดีกับช่วงไหล่เพื่อการทรงตัวที่ดี

2. Mountain Climbers – ท่าวิ่งกระชับหน้าท้อง

ขั้นตอนการทำ:

  1. เริ่มในท่าวิดพื้น แขนตึง
  2. ยกเข่าขวาขึ้นมาชิดหน้าอก
  3. สลับกลับไปท่าเริ่มต้น
  4. ยกเข่าซ้ายขึ้นมาชิดหน้าอก
  5. ทำสลับซ้าย-ขวา เร็วๆ เหมือนการวิ่ง

จังหวะ: ทำต่อเนื่อง 40 วินาที พัก 20 วินาที ทำ 3-4 รอบ

เคล็ดลับจากประสบการณ์: รักษาแกนกลางลำตัวให้นิ่ง ไม่แอ่นหลังหรือสะโพก จะช่วยให้กล้ามเนื้อหน้าท้องทำงานได้เต็มที่ พยายามยกเข่าให้สูงชิดหน้าอกมากที่สุดเท่าที่ทำได้

3. High Knees – ท่าเร่งการเผาผลาญ

ขั้นตอนการทำ:

  1. ยืนตรง แยกเท้าเท่ากับความกว้างสะโพก
  2. วิ่งอยู่กับที่ ยกเข่าให้สูงระดับเอว
  3. สลับขาซ้าย-ขวา เร็วๆ
  4. แกว่งแขนสลับกันเหมือนวิ่ง
  5. รักษาการทรงตัวให้ตัวตั้งตรง ไม่เอนไปด้านหลัง

จังหวะ: ทำต่อเนื่อง 30 วินาที พัก 15 วินาที ทำ 3-4 รอบ

เคล็ดลับจากประสบการณ์: เน้นยกเข่าให้สูงแทนการวิ่งเร็ว จะช่วยเผาผลาญได้ดีกว่า และลดการกระแทกที่หัวเข่า

4. Jump Squats – ท่ากระชับต้นขาและสะโพก

ขั้นตอนการทำ:

  1. ยืนแยกเท้าเท่าช่วงไหล่
  2. ย่อเข่าลงเหมือนนั่ง สะโพกยื่นไปด้านหลัง
  3. เมื่อต้นขาขนานกับพื้น กระโดดขึ้นสูง
  4. ลงสู่พื้นด้วยปลายเท้า
  5. ย่อตัวลงทำท่าสควอทต่อทันที

จังหวะ: ทำต่อเนื่อง 20 วินาที พัก 10 วินาที ทำ 3 รอบ

เคล็ดลับจากประสบการณ์: เน้นการลงจากกระโดดให้นุ่มนวล ใช้ปลายเท้ารับน้ำหนักก่อนส้นเท้า จะช่วยลดแรงกระแทกที่ข้อเข่า

5. Push-up with Rotation – ท่าเสริมแขนและหน้าท้อง

ขั้นตอนการทำ:

  1. เริ่มในท่าวิดพื้น
  2. ลดตัวลงทำวิดพื้น 1 ครั้ง
  3. ดันตัวขึ้น พร้อมยกแขนขวาขึ้นชี้ฟ้า
  4. หมุนลำตัวตาม จนตัวเป็นรูปตัว T
  5. กลับสู่ท่าเริ่มต้น ทำสลับอีกข้าง

จังหวะ: ทำข้างละ 20 วินาที พัก 15 วินาที ทำ 3 รอบ

เคล็ดลับจากประสบการณ์: รักษาแกนกลางลำตัวให้นิ่งขณะหมุนตัว จะช่วยบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องได้ดียิ่งขึ้น

6. Jumping Lunges – ท่าเสริมสร้างความแข็งแรงขาทั้งสองข้าง

ขั้นตอนการทำ:

  1. ยืนตรง ก้าวขาขวาไปด้านหน้า ขาซ้ายอยู่ด้านหลัง
  2. ย่อตัวลงให้เข่าทั้งสองข้างงอ 90 องศา
  3. กระโดดขึ้น สลับขาซ้ายมาด้านหน้า ขาขวาไปด้านหลัง
  4. ลงสู่ท่าลันจ์ทันที
  5. ทำต่อเนื่องสลับขา

จังหวะ: ทำต่อเนื่อง 30 วินาที พัก 20 วินาที ทำ 3 รอบ

เคล็ดลับจากประสบการณ์: รักษาลำตัวให้ตรง หัวเข่าด้านหน้าไม่ยื่นเกินปลายเท้า เพื่อป้องกันการบาดเจ็บ

7. Speed Skaters – ท่ากระชับสะโพกและต้นขาด้านข้าง

ขั้นตอนการทำ:

  1. ยืนตรง เท้าชิด
  2. กระโดดไปทางขวา ลงด้วยเท้าขวา
  3. ยกเท้าซ้ายไขว้ไปด้านหลัง
  4. กระโดดสลับไปทางซ้าย
  5. ทำสลับซ้าย-ขวาต่อเนื่อง

จังหวะ: ทำต่อเนื่อง 40 วินาที พัก 20 วินาที ทำ 3 รอบ

เคล็ดลับจากประสบการณ์: กระโดดให้กว้างพอประมาณ เน้นการทรงตัวและความนุ่มนวลในการลงพื้น

8. Plank to Downward Dog – ท่าเสริมสร้างความแข็งแรงแกนกลาง

ขั้นตอนการทำ:

  1. เริ่มในท่าแพลงค์ แขนตึง ลำตัวตรง
  2. ยกสะโพกขึ้น ดันส้นเท้าลงพื้น
  3. เหยียดแขนตรง ร่างกายเป็นรูปตัว V คว่ำ
  4. กลับสู่ท่าแพลงค์
  5. ทำซ้ำต่อเนื่อง

จังหวะ: ทำต่อเนื่อง 30 วินาที พัก 15 วินาที ทำ 3 รอบ

เคล็ดลับจากประสบการณ์: รักษาแขนให้ตึงตลอดการเคลื่อนไหว หายใจสม่ำเสมอ จะช่วยควบคุมการเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น

9. Russian Twists – ท่าบริหารหน้าท้องส่วนข้าง

ขั้นตอนการทำ:

  1. นั่งงอเข่า ยกเท้าลอยจากพื้นเล็กน้อย
  2. เอนตัวไปด้านหลังประมาณ 45 องศา
  3. ประสานมือหน้าอก หรือถือน้ำหนักเบาๆ
  4. หมุนลำตัวไปทางขวา สัมผัสพื้น
  5. หมุนกลับไปทางซ้าย ทำสลับกัน

จังหวะ: ทำต่อเนื่อง 30 วินาที พัก 15 วินาที ทำ 3 รอบ

เคล็ดลับจากประสบการณ์: เริ่มต้นโดยไม่ต้องใช้น้ำหนัก เน้นการควบคุมการเคลื่อนไหวให้ถูกต้องก่อน

10. Broad Jump with Backpedal – ท่าเสริมพลังระเบิด

ขั้นตอนการทำ:

  1. ยืนเท้าห่างเท่าช่วงไหล่
  2. ย่อตัวลงเล็กน้อย แกว่งแขนเตรียมกระโดด
  3. กระโดดไปด้านหน้าให้ไกลที่สุด
  4. ลงพื้นย่อเข่ารับแรงกระแทก
  5. วิ่งถอยหลังกลับจุดเริ่มต้น

จังหวะ: ทำต่อเนื่อง 30 วินาที พัก 20 วินาที ทำ 3 รอบ

เคล็ดลับจากประสบการณ์: เน้นการลงพื้นอย่างนุ่มนวล ระวังการกระแทกที่ข้อเท้าและหัวเข่า

ข้อควรระวังในการทำ HIIT ที่ควรรู้

การออกกำลังกายแบบ HIIT แม้จะมีประสิทธิภาพสูง แต่ก็มีความเข้มข้นมาก จึงควรระมัดระวังและเตรียมตัวให้พร้อม สมาคมเวชศาสตร์การกีฬา (2023) แนะนำว่าควรอบอุ่นร่างกายอย่างน้อย 5-10 นาทีก่อนเริ่ม และควรเริ่มจากความหนักระดับกลางก่อน

ใครไม่ควรทำ HIIT

ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง หรือมีอาการบาดเจ็บที่ข้อต่อ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มทำ HIIT นอกจากนี้ ผู้ที่ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อน ควรสร้างความแข็งแรงพื้นฐานด้วยการออกกำลังกายแบบปกติก่อน 2-3 สัปดาห์

วิธีเพิ่มประสิทธิภาพการทำ HIIT

  1. ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อย 400-600 มิลลิลิตรก่อนออกกำลังกาย
  2. ทานอาหารก่อนออกกำลัง 2-3 ชั่วโมง
  3. พักผ่อนให้เพียงพอ ควรนอนอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมง
  4. อย่าทำ HIIT ติดต่อกันทุกวัน ควรพัก 1-2 วันระหว่างสัปดาห์
  5. ฟังสัญญาณร่างกาย หากรู้สึกเหนื่อยมาก ให้หยุดพักทันที

10 คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ HIIT

Q: HIIT แตกต่างจาก Cardio อย่างไร?

A: HIIT เน้นการออกกำลังความหนักสูงสลับพัก ใช้เวลาสั้น 15-30 นาที ช่วยเผาผลาญต่อเนื่อง 24-48 ชั่วโมง ส่วน Cardio เน้นความหนักระดับกลางต่อเนื่อง ใช้เวลา 45-60 นาที และหยุดเผาผลาญเมื่อหยุดออกกำลัง

Q: ทำ HIIT ทุกวันได้ไหม?

A: ไม่ควรทำทุกวัน ควรทำ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ และพัก 1-2 วัน เพราะร่างกายต้องการเวลาฟื้นฟูกล้ามเนื้อและป้องกันการบาดเจ็บ

Q: HIIT ช่วยลดน้ำหนักได้เร็วแค่ไหน?

A: หากทำอย่างสม่ำเสมอ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ร่วมกับควบคุมอาหาร สามารถลดน้ำหนักได้ 0.5-1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์

Q: HIIT 10 นาที เผาผลาญกี่แคลอรี่?

A: โดยเฉลี่ย HIIT 10 นาทีสามารถเผาผลาญได้ 100-150 แคลอรี่ ขึ้นอยู่กับความหนักและน้ำหนักตัว

Q: เริ่มต้นทำ HIIT ควรทำนานแค่ไหน?

A: สำหรับมือใหม่ ควรเริ่มที่ 10-15 นาที ทำความหนัก 20 วินาที พัก 40 วินาที แล้วค่อยๆ เพิ่มเวลาและความหนักตามความแข็งแรงของร่างกาย

Q: HIIT เหมาะกับใครบ้าง?

A: HIIT เหมาะสำหรับผู้ที่มีร่างกายแข็งแรง ไม่มีปัญหาข้อต่อหรือหัวใจ และเคยออกกำลังกายมาแล้วระดับหนึ่ง ไม่แนะนำสำหรับผู้เริ่มต้นที่ไม่เคยออกกำลังกายเลย ผู้สูงอายุ หรือผู้มีโรคประจำตัว

Q: ทำ HIIT แล้วกล้ามเนื้อจะใหญ่ขึ้นไหม?

A: HIIT ช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อและเพิ่มความแข็งแรง แต่ไม่ได้เน้นสร้างกล้ามเนื้อให้ใหญ่ขึ้น หากต้องการเพิ่มขนาดกล้ามเนื้อ ควรทำเวทเทรนนิ่งร่วมด้วย

Q: ควรทาน BCAA หรือเวย์โปรตีนก่อนทำ HIIT ไหม?

A: ไม่จำเป็น การทานอาหารปกติก่อนทำ HIIT 2-3 ชั่วโมงก็เพียงพอ แต่หากต้องการทานเสริม ควรเลือกทานหลังออกกำลังเพื่อฟื้นฟูกล้ามเนื้อ

Q: HIIT ช่วยลดไขมันหน้าท้องได้จริงไหม?

A: HIIT สามารถช่วยลดไขมันหน้าท้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากกระตุ้นการเผาผลาญอย่างต่อเนื่อง แต่ต้องควบคุมอาหารร่วมด้วย

Q: อาการปวดกล้ามเนื้อหลังทำ HIIT ถือว่าปกติไหม?

A: ปกติ อาการปวดกล้ามเนื้อมักเกิดขึ้น 24-48 ชั่วโมงหลังทำ HIIT แต่หากปวดรุนแรงหรือปวดข้อต่อ ควรหยุดพักและปรึกษาแพทย์

สรุป: เริ่มต้น HIIT อย่างไรให้ได้ผลดีที่สุด

การออกกำลังกายแบบ HIIT เป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับคนที่มีเวลาจำกัดแต่ต้องการผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ ด้วยการใช้เวลาเพียง 15-30 นาทีต่อครั้ง เราสามารถเผาผลาญพลังงานได้มากกว่าการออกกำลังกายแบบดั้งเดิมถึง 60%

สำหรับผู้เริ่มต้น แนะนำให้เริ่มจากการทำ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เน้นท่าพื้นฐานที่ทำได้ที่บ้าน เช่น Burpees, Mountain Climbers หรือ High Knees โดยเริ่มจากอัตราส่วน 1:2 (ออกแรง 20 วินาที พัก 40 วินาที) แล้วค่อยๆ ปรับเพิ่มตามความแข็งแรงของร่างกาย

ที่สำคัญ อย่าลืมฟังสัญญาณร่างกาย พักผ่อนให้เพียงพอ และควบคุมอาหารควบคู่กันไป เพียงเท่านี้ คุณก็จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการทำ HIIT และบรรลุเป้าหมายสุขภาพที่ตั้งใจไว้