รวมท่าเล่นหลัง15 ท่าฝึกกล้ามเนื้อหลังที่ดีที่สุด โดยแบ่งตามอุปกรณ์
การเล่นหลังให้ได้ผลนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องรู้จักเลือกท่าออกกำลังกายหลังให้เหมาะสม เพราะกล้ามเนื้อหลังเป็นกลุ่มกล้ามเนื้อขนาดใหญ่ที่ต้องการการกระตุ้นที่หลากหลาย การเลือกท่าเล่นหลังที่ถูกต้องจึงเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างกล้ามเนื้อหลังให้แข็งแรงและสมส่วน
ในบทความนี้ เราได้รวบรวม 15 ท่าเล่นหลังที่ดีที่สุด โดยแบ่งตามอุปกรณ์ที่ใช้ ไม่ว่าคุณจะฝึกที่ยิมหรือที่บ้าน ก็สามารถเลือกท่าเวทหลังให้เหมาะกับอุปกรณ์ที่มี พร้อมคำแนะนำการเล่นที่ถูกต้องและโปรแกรมการฝึกที่เหมาะสมกับทุกระดับ ตั้งแต่มือใหม่ไปจนถึงผู้ที่ต้องการพัฒนากล้ามเนื้ออย่างจริงจัง
ท่าเล่นหลังด้วยเคเบิล/แมชชีน
เครื่องเล่นเคเบิลและแมชชีนเป็นอุปกรณ์ที่ได้รับความนิยมในการเล่นหลัง เนื่องจากให้แรงต้านที่สม่ำเสมอตลอดช่วงการเคลื่อนไหว ทำให้กระตุ้นกล้ามเนื้อหลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้เล่นสามารถควบคุมท่าทางได้ง่าย เหมาะสำหรับทั้งมือใหม่และผู้ที่ต้องการสร้างกล้ามเนื้อหลังอย่างจริงจัง
1. Lat Pulldown
ท่า Lat Pulldown เป็นท่าเล่นหลังพื้นฐานที่สำคัญที่สุดสำหรับการพัฒนากล้ามเนื้อ Latissimus Dorsi หรือกล้ามเนื้อปีกหลัง การศึกษาจาก Journal of Strength and Conditioning Research พบว่า ท่า Lat Pulldown สามารถกระตุ้นกล้ามเนื้อหลังส่วนบนได้มากถึง 90% เมื่อเทียบกับท่าอื่นๆ
วิธีการเล่นที่ถูกต้อง
การเล่น Lat Pulldown เริ่มจากการนั่งที่เครื่อง จับบาร์กว้างกว่าไหล่เล็กน้อย ดึงบาร์ลงมาที่หน้าอกโดยเน้นการบีบกล้ามเนื้อหลังเป็นหลัก ไม่ใช้แรงจากแขนมากเกินไป กดไหล่ลงขณะดึงบาร์และค่อยๆ ปล่อยกลับช้าๆ การควบคุมจังหวะการเคลื่อนไหวเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เล่นหลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยและวิธีแก้ไข
ปัญหาที่พบบ่อยในการเล่นหลังด้วยท่า Lat Pulldown คือการโน้มตัวไปด้านหลังมากเกินไป และการใช้แรงจากแขนมากกว่ากล้ามเนื้อหลัง วิธีแก้ไขคือให้รักษาลำตัวตั้งตรง เน้นการบีบกล้ามเนื้อหลังขณะดึงบาร์ลง และจินตนาการว่ากำลังดึงข้อศอกลงพื้นแทนที่จะคิดว่ากำลังดึงบาร์
เคล็ดลับการเล่นให้ได้ผลดี
สำหรับการเล่นหลังให้ได้ผลดีที่สุด ควรเริ่มจากน้ำหนักเบาๆ และค่อยๆ เพิ่มเมื่อควบคุมท่าทางได้ดี ทำ 3-4 เซต เซตละ 8-12 ครั้ง หากต้องการสร้างกล้ามเนื้อหลัง ใช้น้ำหนักที่ทำได้ 8-12 ครั้งต่อเซต แต่หากต้องการเน้นความแข็งแรง ใช้น้ำหนักที่หนักขึ้นและลดจำนวนครั้งเหลือ 6-8 ครั้งต่อเซต
2. Seated Cable Row
Seated Cable Row เป็นท่าเล่นหลังที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนากล้ามหลังส่วนกลาง โดยเฉพาะกล้ามเนื้อ Rhomboids และ Trapezius การเล่นท่านี้ช่วยปรับปรุงท่าทางการยืนและลดปัญหาหลังค่อมได้อย่างดี
วิธีการเล่นที่ถูกต้อง
เริ่มจากการนั่งที่เครื่อง Seated Row โดยวางเท้าให้มั่นคงบนที่วางเท้า จับด้ามจับในระดับหน้าท้อง ยืดหลังให้ตรง ดึงด้ามจับเข้าหาลำตัวโดยบีบสะบักเข้าหากัน ขณะดึงให้กดไหล่ลงและรักษาข้อศอกให้ชิดลำตัว หลังจากนั้นค่อยๆ ผ่อนแรงกลับสู่ท่าเริ่มต้น การเคลื่อนไหวควรทำอย่างนุ่มนวลและควบคุมได้
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยและวิธีแก้ไข
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการเล่นหลังด้วยท่า Seated Row คือการแกว่งลำตัวไปมาเพื่อช่วยในการดึง และการปล่อยให้หลังโค้งงอขณะผ่อนน้ำหนัก วิธีแก้ไขคือให้รักษาแกนกลางลำตัวให้มั่นคง จินตนาการว่ามีแผ่นไม้ค้ำหลังไว้ และเน้นการใช้กล้ามเนื้อหลังเป็นหลักในการดึง
เคล็ดลับการเล่นให้ได้ผลดี
การเล่นเวทหลังท่านี้ให้ได้ผลดีที่สุด ควรเน้นการบีบสะบักในจุดที่ดึงสุด ค้างไว้ประมาณ 1 วินาที ก่อนผ่อนกลับ การหายใจที่ถูกต้องก็สำคัญ ให้หายใจออกขณะดึง และหายใจเข้าขณะผ่อนน้ำหนัก ทำ 3-4 เซต เซตละ 10-15 ครั้ง สำหรับการสร้างกล้ามเนื้อหลัง หรือ 6-8 ครั้งด้วยน้ำหนักที่หนักขึ้นสำหรับการเสริมสร้างความแข็งแรง
3. Cable Face Pull
Cable Face Pull เป็นท่าเล่นหลังที่มักถูกมองข้าม แต่มีความสำคัญอย่างมากในการพัฒนากล้ามหลังส่วนบนและกล้ามเนื้อหลังไหล่ ท่านี้ช่วยแก้ปัญหาหลังค่อมและไหล่ห่อที่เกิดจากการนั่งทำงานเป็นเวลานาน
วิธีการเล่นที่ถูกต้อง
ยืนหันหน้าเข้าหาเครื่องเคเบิล ปรับความสูงของสายเคเบิลให้อยู่ระดับหน้าอก จับด้ามจับแบบคว่ำมือ ถอยหลังเพื่อให้เกิดแรงต้าน ยืนในท่าที่มั่นคง ดึงด้ามจับเข้าหาใบหน้าโดยกางข้อศอกออกด้านข้าง บีบสะบักเข้าหากันในจุดสุดของการเคลื่อนไหว จากนั้นค่อยๆ ผ่อนกลับสู่ท่าเริ่มต้นอย่างควบคุม
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยและวิธีแก้ไข
หนึ่งในข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการเล่นหลังท่านี้คือการใช้น้ำหนักมากเกินไป ทำให้ไม่สามารถดึงเข้าหาใบหน้าได้อย่างถูกต้อง และมักจะยกไหล่ขึ้นแทนการบีบสะบัก วิธีแก้ไขคือลดน้ำหนักลง เน้นการรู้สึกถึงการทำงานของกล้ามเนื้อหลัง และรักษาไหล่ให้ต่ำตลอดการเคลื่อนไหว
เคล็ดลับการเล่นให้ได้ผลดี
สำหรับการเล่นหลังด้วยท่า Face Pull ให้ได้ผลดีที่สุด ควรใช้น้ำหนักเบาถึงปานกลาง และเน้นจำนวนครั้งที่มากขึ้น ทำ 3-4 เซต เซตละ 12-15 ครั้ง เพื่อพัฒนาความทนทานและการทำงานประสานกันของกล้ามเนื้อ ท่านี้เหมาะสำหรับการทำในช่วงท้ายของการเล่นหลัง เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อที่มักถูกละเลย
4. Straight Arm Pulldown
Straight Arm Pulldown หรือที่หลายคนเรียกว่า Straight-arm Lat Pulldown เป็นท่าเล่นหลังที่เน้นพัฒนากล้ามเนื้อ Latissimus Dorsi หรือกล้ามเนื้อปีกหลังโดยเฉพาะ ท่านี้มีความพิเศษตรงที่กระตุ้นกล้ามเนื้อในมุมที่แตกต่างจากท่าดึงทั่วไป ทำให้การสร้างกล้ามเนื้อหลังเป็นไปอย่างครบถ้วนมากขึ้น
วิธีการเล่นที่ถูกต้อง
เริ่มจากการยืนห่างจากเครื่องเคเบิลประมาณหนึ่งก้าว จับบาร์ด้านบนด้วยมือทั้งสองข้าง เหยียดแขนตรง โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย จากนั้นออกแรงดึงบาร์ลงมาด้านล่างโดยรักษาแขนให้ตรงตลอดการเคลื่อนไหว เน้นการใช้กล้ามหลังเป็นหลักในการดึง และค่อยๆ ผ่อนกลับสู่ท่าเริ่มต้น
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยและวิธีแก้ไข
ข้อผิดพลาดหลักของการเล่นหลังท่านี้คือการงอข้อศอกระหว่างการเคลื่อนไหว ซึ่งจะทำให้แรงไปตกที่กล้ามเนื้อไบเซ็ปแทนที่จะเป็นกล้ามเนื้อหลัง นอกจากนี้ การแอ่นหลังมากเกินไปก็เป็นอีกปัญหาที่พบบ่อย วิธีแก้ไขคือให้จดจ่อกับการรักษาแขนให้ตรง และเกร็งท้องเพื่อรักษาแนวกระดูกสันหลังให้มั่นคง
เคล็ดลับการเล่นให้ได้ผลดี
การเล่นเวทหลังท่านี้ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ควรเริ่มจากน้ำหนักเบาก่อนเพื่อฝึกความรู้สึกในการควบคุมกล้ามเนื้อ เมื่อชำนาญแล้วจึงค่อยเพิ่มน้ำหนัก แนะนำให้ทำ 3-4 เซต เซตละ 12-15 ครั้ง โดยเน้นการบีบกล้ามเนื้อในจุดต่ำสุดของการเคลื่อนไหว จะช่วยให้การสร้างกล้ามเนื้อหลังเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ท่าเล่นหลังด้วยดัมเบล
การเล่นหลังด้วยดัมเบลเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับทั้งผู้ที่ฝึกที่ยิมและที่บ้าน ดัมเบลให้อิสระในการเคลื่อนไหวมากกว่าเครื่องเล่น ช่วยพัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมัดเล็กที่ช่วยในการทรงตัว และสามารถปรับน้ำหนักได้ง่ายตามระดับความแข็งแรง
1. One-Arm Dumbbell Row
การศึกษาจาก European Journal of Applied Physiology แสดงให้เห็นว่าการฝึกแบบข้างเดียว (Unilateral Training) ช่วยเพิ่มการกระตุ้นกล้ามเนื้อได้มากกว่าการฝึกสองข้างพร้อมกันถึง 20% ท่า One-Arm Dumbbell Row จึงเป็นท่าเล่นหลังที่มีประสิทธิภาพสูงในการสร้างกล้ามเนื้อหลัง
วิธีการเล่นที่ถูกต้อง
วางเข่าและมือข้างหนึ่งบนม้านั่ง โดยให้หลังขนานกับพื้น มืออีกข้างถือดัมเบล ปล่อยแขนให้เหยียดตรง จากนั้นดึงดัมเบลขึ้นชิดลำตัว โดยให้ข้อศอกชี้ขึ้นฟ้า เน้นการบีบกล้ามหลังตลอดการเคลื่อนไหว ค้างไว้ชั่วขณะเมื่อดึงถึงจุดสูงสุด แล้วค่อยๆ ลดดัมเบลลงสู่ท่าเริ่มต้น
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยและวิธีแก้ไข
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการเล่นหลังท่านี้คือการบิดลำตัวขณะดึงดัมเบล และการละเลยการบีบกล้ามเนื้อในจุดสูงสุด วิธีแก้ไขคือให้จินตนาการว่ากำลังพยายามนำข้อศอกแตะเพดาน และรักษาลำตัวให้นิ่งตลอดการเคลื่อนไหว เพื่อให้กล้ามเนื้อหลังทำงานอย่างเต็มที่
เคล็ดลับการเล่นให้ได้ผลดี
การเล่นกล้ามหลังด้วยท่านี้จะได้ผลดีที่สุดเมื่อเน้นคุณภาพของการเคลื่อนไหวมากกว่าน้ำหนัก ควรทำ 3-4 เซต เซตละ 10-12 ครั้งต่อข้าง หายใจออกขณะดึงดัมเบลขึ้น และหายใจเข้าขณะลดลง สำหรับมือใหม่ ควรเริ่มจากน้ำหนักเบาและค่อยๆ เพิ่มเมื่อควบคุมท่าทางได้ดี
2. Bent-Over Dumbbell Row
Bent-Over Dumbbell Row เป็นท่าเล่นหลังที่ครอบคลุมการพัฒนากล้ามหลังแทบทุกส่วน โดยเฉพาะกล้ามเนื้อ Latissimus Dorsi, Rhomboids และ Trapezius การทำท่านี้พร้อมกันสองข้างช่วยให้สามารถใช้น้ำหนักในการสร้างกล้ามเนื้อหลังได้มากขึ้น และยังช่วยพัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวไปพร้อมกัน
วิธีการเล่นที่ถูกต้อง
เริ่มจากการยืนเท้าห่างกันประมาณความกว้างสะโพก ถือดัมเบลทั้งสองข้าง ย่อเข่าเล็กน้อยและโน้มตัวไปข้างหน้าประมาณ 45 องศา โดยให้หลังตรง ไม่แอ่นหรือโก่ง ปล่อยให้แขนห้อยตรงพร้อมดัมเบล จากนั้นหายใจเข้าให้เต็มปอด แล้วค่อยๆ ดึงดัมเบลขึ้นพร้อมกันทั้งสองข้าง โดยให้ข้อศอกชี้ขึ้นด้านบนและออกด้านข้างเล็กน้อย
ในจุดสูงสุดของการเคลื่อนไหว ให้บีบสะบักเข้าหากันอย่างจงใจ พร้อมกับหายใจออก ค้างไว้ประมาณ 1-2 วินาที จากนั้นค่อยๆ ลดดัมเบลลงสู่ท่าเริ่มต้นอย่างควบคุม ขณะลดน้ำหนักให้รู้สึกถึงการยืดตัวของกล้ามเนื้อหลัง แต่ไม่ปล่อยให้ดัมเบลดึงไหล่ของคุณลงมากเกินไป
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยและวิธีแก้ไข
การเล่นหลังท่านี้มักพบข้อผิดพลาดหลายประการ ที่สำคัญที่สุดคือการโน้มตัวไปข้างหน้ามากหรือน้อยเกินไป ซึ่งจะทำให้การกระจายน้ำหนักไม่เหมาะสมและอาจนำไปสู่การบาดเจ็บได้ วิธีแก้ไขคือการตั้งกระจกด้านข้างเพื่อสังเกตองศาการโน้มตัว หรือขอให้เพื่อนช่วยดูท่าทาง
อีกปัญหาที่พบบ่อยคือการใช้แรงเหวี่ยงจากสะโพกและขาช่วยในการดึงดัมเบล แทนที่จะใช้กล้ามหลังเป็นหลัก วิธีแก้ไขคือลดน้ำหนักลงและเน้นการรู้สึกถึงการทำงานของกล้ามเนื้อหลังในทุกจังหวะการเคลื่อนไหว
เคล็ดลับการเล่นให้ได้ผลดี
การเล่นกล้ามหลังด้วยท่า Bent-Over Row จะได้ผลดีที่สุดเมื่อทำอย่างมีสติและควบคุมได้ ควรเริ่มด้วยน้ำหนักประมาณ 40-50% ของน้ำหนักที่คิดว่าทำได้ เพื่อฝึกฟอร์มให้สมบูรณ์ก่อน จากนั้นค่อยๆ เพิ่มน้ำหนักขึ้นทีละน้อย
สำหรับการจัดเซต แนะนำให้ทำ 4 เซต โดยแบ่งเป็น
- เซตที่ 1 น้ำหนักเบา 15 ครั้ง (วอร์มอัพ)
- เซตที่ 2-3 น้ำหนักปานกลาง 10-12 ครั้ง
- เซตที่ 4 น้ำหนักหนัก 8-10 ครั้ง
พักระหว่างเซต 60-90 วินาที ยกเว้นเซตสุดท้ายอาจพัก 2 นาทีหากใช้น้ำหนักหนัก
3. Dumbbell Deadlift
Dumbbell Deadlift เป็นการประยุกต์ท่าเล่นหลังคลาสสิกมาใช้กับดัมเบล ท่านี้ไม่เพียงช่วยสร้างกล้ามเนื้อหลังเท่านั้น แต่ยังพัฒนากล้ามเนื้อทั่วร่างกาย โดยเฉพาะกล้ามหลังล่าง สะโพก และต้นขาด้านหลัง จาก
วิธีการเล่นที่ถูกต้อง
เริ่มจากการยืนวางเท้าห่างกันประมาณความกว้างสะโพก ถือดัมเบลไว้ด้านข้างลำตัวทั้งสองข้าง ย่อตัวลงโดยการขยับสะโพกไปด้านหลังก่อน พร้อมกับงอเข่าเล็กน้อย ให้หลังตรงและอกเปิด ลดดัมเบลลงตามแนวหน้าแข้ง จนรู้สึกถึงการยืดตัวของกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง
จากนั้นออกแรงดันพื้นผ่านส้นเท้า พร้อมกับเหยียดสะโพกและเข่าขึ้นมาพร้อมกัน รักษาแนวดัมเบลให้เคลื่อนที่ขึ้นในแนวตรง ชิดลำตัว ในจุดสูงสุดให้บีบก้นและกล้ามเนื้อหลังเล็กน้อย ก่อนเริ่มเซตใหม่
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยและวิธีแก้ไข
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยที่สุดในการเล่นหลังท่านี้คือการโค้งหลังขณะยกน้ำหนัก ซึ่งอาจนำไปสู่การบาดเจ็บได้ วิธีแก้ไขคือการฝึกท่าทางโดยไม่ใช้น้ำหนักก่อน โดยให้ความสำคัญกับการรักษาหลังให้ตรงและการเคลื่อนไหวของสะโพก
อีกปัญหาที่พบคือการงอเข่ามากเกินไปจนกลายเป็นท่า squat แทนที่จะเป็น deadlift วิธีแก้ไขคือให้เริ่มการเคลื่อนไหวด้วยการขยับสะโพกไปด้านหลังก่อนเสมอ และงอเข่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เคล็ดลับการเล่นให้ได้ผลดี
การเล่นกล้ามหลังด้วยท่า Dumbbell Deadlift ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ควรเริ่มจากการวอร์มอัพอย่างดี เน้นการทำเซตเบาๆ 15-20 ครั้งก่อน แล้วค่อยเพิ่มน้ำหนัก แนะนำให้ทำ 3-4 เซต โดยปรับจำนวนครั้งตามความหนักดังนี้:
- น้ำหนักปานกลาง 12-15 ครั้ง
- น้ำหนักหนัก 8-10 ครั้ง
หลังจากจบเซตสุดท้าย อาจเสริมด้วยเซตเบาๆ อีก 15-20 ครั้งเพื่อเพิ่มปริมาณเลือดที่ไหลเวียนในกล้ามเนื้อ
4. Dumbbell Pullover
Dumbbell Pullover เป็นท่าเล่นหลังที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพราะสามารถกระตุ้นกล้ามเนื้อหลังในมุมที่แตกต่างจากท่าอื่นๆ โดยเฉพาะส่วน Latissimus Dorsi หรือกล้ามเนื้อปีกหลัง นอกจากนี้ยังช่วยพัฒนากล้ามเนื้อหน้าอกส่วนบนและกล้ามเนื้อ Serratus Anterior ที่อยู่ด้านข้างลำตัว ทำให้เป็นท่าที่ช่วยสร้างกล้ามเนื้อหลังได้อย่างครบถ้วน
วิธีการเล่นที่ถูกต้อง
เริ่มจากการนอนหงายบนม้านั่ง โดยให้หัวและไหล่อยู่ใกล้ขอบม้า วางเท้าให้มั่นคงบนพื้น ถือดัมเบลด้วยมือทั้งสองข้างในลักษณะประคองที่ปลายดัมเบล ยกดัมเบลขึ้นเหนืออก แขนเหยียดตรงแต่ไม่ล็อกข้อศอก
จากนั้นค่อยๆ ลดดัมเบลลงไปเหนือศีรษะ โดยให้แขนเหยียดและรักษาข้อศอกให้งอเพียงเล็กน้อย ลดลงจนรู้สึกถึงการยืดตัวที่กล้ามหลัง แต่ไม่ลดต่ำจนเกิดความไม่สบายที่ไหล่ หายใจเข้าขณะลดดัมเบล จากนั้นออกแรงยกดัมเบลกลับขึ้นมาสู่ท่าเริ่มต้น พร้อมกับหายใจออก
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยและวิธีแก้ไข
ข้อผิดพลาดสำคัญในการเล่นหลังท่านี้คือการแอ่นหลังมากเกินไปขณะลดดัมเบล ซึ่งอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บที่หลังส่วนล่างได้ วิธีแก้ไขคือการเกร็งท้องตลอดการเคลื่อนไหว และรักษาหลังส่วนล่างให้แนบกับม้านั่ง
อีกปัญหาที่พบบ่อยคือการลดดัมเบลลงลึกเกินไป ทำให้เกิดความตึงที่ข้อไหล่มากเกินไป วิธีแก้ไขคือการลดดัมเบลลงเพียงแค่จุดที่รู้สึกถึงการยืดตัวของกล้ามเนื้อที่พอดี ไม่จำเป็นต้องลดลงจนสุด
เคล็ดลับการเล่นให้ได้ผลดี
การเล่นกล้ามหลังด้วยท่า Pullover จะได้ผลดีที่สุดเมื่อทำด้วยน้ำหนักที่เหมาะสมและเน้นการควบคุมการเคลื่อนไหว แนะนำให้ทำ 3-4 เซต โดยแบ่งดังนี้
- เซตแรก น้ำหนักเบา 15 ครั้ง เพื่อวอร์มอัพและฝึกการรู้สึกถึงกล้ามเนื้อ
- เซตที่สอง น้ำหนักปานกลาง 12 ครั้ง เน้นการควบคุมจังหวะ
- เซตที่สาม-สี่ น้ำหนักหนักขึ้น 8-10 ครั้ง แต่ยังคงรักษาฟอร์มที่สมบูรณ์
พักระหว่างเซต 60-90 วินาที โดยท่านี้ควรทำเป็นท่าสุดท้ายของการเล่นหลัง เนื่องจากเป็นท่าที่ช่วยยืดกล้ามเนื้อไปในตัว
ท่าเล่นหลังด้วยบาร์เบล
บาร์เบลเป็นอุปกรณ์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในการเล่นหลังเนื่องจากสามารถใช้น้ำหนักได้มาก ช่วยในการสร้างกล้ามเนื้อหลังและพัฒนาความแข็งแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1. Barbell Deadlift
Deadlift เป็นหนึ่งในท่าหลักที่สำคัญที่สุดสำหรับการเล่นกล้ามหลัง ตามการศึกษาจาก Journal of Strength and Conditioning Research พบว่า Deadlift สามารถกระตุ้นกล้ามเนื้อหลังทั้งหมดได้มากถึง 85% ของความสามารถสูงสุด ทำให้เป็นท่าที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการพัฒนากล้ามเนื้อและความแข็งแรง
วิธีการเล่นที่ถูกต้อง
เริ่มจากการยืนหน้าบาร์เบล เท้าห่างกันประมาณความกว้างสะโพก ปลายเท้าชี้ออกด้านข้างเล็กน้อย จับบาร์กว้างกว่าช่วงขาเล็กน้อย ย่อตัวลงโดยขยับสะโพกถอยหลัง หลังตรง อกเปิด ศีรษะอยู่ในแนวเดียวกับกระดูกสันหลัง
ก่อนยก ให้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เกร็งท้องและหลัง จากนั้นเริ่มยกบาร์โดยใช้แรงจากขาและสะโพกเป็นหลัก บาร์ควรเคลื่อนที่ในแนวตรงชิดขา ยกจนยืนตรง บีบก้นและกล้ามหลังในจุดสูงสุด ค่อยๆ ลดบาร์ลงในเส้นทางเดิม
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยและวิธีแก้ไข
หนึ่งในข้อผิดพลาดที่อันตรายที่สุดของการเล่นหลังด้วยท่า Deadlift คือการโค้งหลังขณะยก วิธีแก้ไขคือการฝึกท่าทางก่อนใช้น้ำหนัก โดยใช้ไม้หรือท่อ PVC แทนบาร์ ฝึกการรักษาหลังให้ตรงและการเคลื่อนไหวของสะโพก
อีกปัญหาที่พบบ่อยคือการยกบาร์ห่างจากขามากเกินไป ทำให้เกิดความเครียดที่หลังส่วนล่าง วิธีแก้ไขคือให้รักษาบาร์ให้แนบชิดขาตลอดการเคลื่อนไหว และเริ่มการเคลื่อนที่จากสะโพกก่อนเสมอ
เคล็ดลับการเล่นให้ได้ผลดี
การเล่นเวทหลังด้วยท่า Deadlift ควรเริ่มจากการวอร์มอัพอย่างดี เริ่มด้วยการยกบาร์เปล่า 15-20 ครั้ง จากนั้นค่อยๆ เพิ่มน้ำหนัก แนะนำให้ทำ 4-5 เซต ดังนี้
- เซตวอร์มอัพ น้ำหนัก 50% 10-12 ครั้ง
- เซตที่ 2 น้ำหนัก 70% 6-8 ครั้ง
- เซตที่ 3-5 น้ำหนัก 80-85% 4-6 ครั้ง
พักระหว่างเซต 2-3 นาที เนื่องจากเป็นท่าที่ใช้พลังงานสูง และควรทำเป็นท่าแรกของการเล่นหลังเสมอ
2. Barbell Bent Over Row
Barbell Bent Over Row เป็นท่าเล่นหลังที่ถือเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างกล้ามเนื้อหลังส่วนกลางและส่วนบน โดยเฉพาะกล้ามเนื้อ Latissimus Dorsi และ Rhomboids ท่านี้มีความพิเศษตรงที่สามารถใช้น้ำหนักได้มากกว่าการใช้ดัมเบล ทำให้กระตุ้นการเติบโตของกล้ามหลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วิธีการเล่นที่ถูกต้อง
เริ่มจากการยืนหน้าบาร์เบล เท้าห่างกันประมาณความกว้างไหล่ จับบาร์ด้วยท่าคว่ำมือ กว้างกว่าไหล่เล็กน้อย โน้มตัวไปข้างหน้าประมาณ 45 องศา โดยให้หลังตรง สะโพกถอยไปด้านหลัง และเข่างอเล็กน้อย
สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เกร็งแกนกลางลำตัว จากนั้นดึงบาร์ขึ้นมาแนบชิดท้อง โดยกางศอกออกด้านข้าง บีบสะบักเข้าหากันในจุดสูงสุด หายใจออกพร้อมกับการดึง ค้างไว้ชั่วขณะ แล้วค่อยๆ ลดบาร์ลงสู่ท่าเริ่มต้นอย่างควบคุม รู้สึกถึงการยืดตัวของกล้ามเนื้อหลัง
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยและวิธีแก้ไข
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการเล่นหลังท่านี้คือการแกว่งลำตัวเพื่อช่วยในการดึงบาร์ วิธีแก้ไขคือการลดน้ำหนักลงและจินตนาการว่ามีกำแพงอยู่ด้านหลัง ไม่ให้สะโพกแตะกำแพงขณะดึงบาร์
นอกจากนี้ การดึงบาร์สูงเกินไปจนเลยหน้าท้องก็เป็นอีกปัญหาที่พบบ่อย ซึ่งจะทำให้แรงไปตกที่ไหล่แทนกล้ามหลัง วิธีแก้ไขคือให้เล็งบาร์ไปที่สะดือและดึงให้แนบชิดท้องเท่านั้น
เคล็ดลับการเล่นให้ได้ผลดี
สำหรับการเล่นกล้ามหลังด้วยท่า Barbell Row ควรจัดโปรแกรมดังนี้
เซตวอร์มอัพ
- ใช้บาร์เปล่า 15-20 ครั้ง เน้นการรู้สึกถึงการทำงานของกล้ามเนื้อ
- น้ำหนักเบา 12-15 ครั้ง เน้นการควบคุมจังหวะ
เซตหลัก
- 3 เซต น้ำหนักปานกลางถึงหนัก 8-12 ครั้ง
- พักระหว่างเซต 90-120 วินาที
- หากต้องการเน้นความแข็งแรง สามารถลดจำนวนครั้งเหลือ 6-8 ครั้งและเพิ่มน้ำหนักได้
ควรทำท่านี้หลังจาก Deadlift เพราะเป็นท่าที่ต้องการความสดของกล้ามเนื้อพอสมควร
3. T-Bar Row
T-Bar Row เป็นท่าเล่นหลังที่มีประสิทธิภาพสูงในการพัฒนากล้ามหลังส่วนกลาง ท่านี้มีจุดเด่นที่การเคลื่อนไหวถูกจำกัดให้อยู่ในแนวที่เหมาะสม ทำให้สามารถโฟกัสที่การสร้างกล้ามเนื้อหลังได้ดีกว่าท่า Barbell Row ทั่วไป
วิธีการเล่นที่ถูกต้อง
เริ่มจากการยืนคร่อมบาร์ T-Bar โดยให้ปลายด้านหนึ่งของบาร์อยู่ในจุดหมุน วางเท้าให้มั่นคงในตำแหน่งที่สบาย จับด้ามจับด้วยมือทั้งสองข้าง โน้มตัวไปข้างหน้าประมาณ 45 องศา หลังตรง เข่างอเล็กน้อย
สูดลมหายใจเข้าให้เต็มปอด จากนั้นดึงบาร์ขึ้นโดยให้ข้อศอกชี้ออกด้านข้าง ดึงจนบาร์แตะหน้าท้องส่วนล่าง หายใจออกพร้อมกับบีบกล้ามเนื้อหลังให้แน่น ค้างไว้ครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆ ลดบาร์ลงสู่ท่าเริ่มต้นอย่างควบคุม
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยและวิธีแก้ไข
ปัญหาหลักของการเล่นหลังท่านี้คือการดึงบาร์ขึ้นด้วยความเร็วมากเกินไปและใช้แรงเหวี่ยง ทำให้สูญเสียการควบคุมและลดประสิทธิภาพในการกระตุ้นกล้ามเนื้อหลัง วิธีแก้ไขคือการลดน้ำหนักและเน้นการควบคุมจังหวะการเคลื่อนไหว
อีกปัญหาที่พบบ่อยคือการลืมบีบสะบักในจุดสูงสุดของการเคลื่อนไหว วิธีแก้ไขคือการจินตนาการว่ากำลังพยายามบีบดินสอไว้ระหว่างสะบักขณะดึงบาร์
เคล็ดลับการเล่นให้ได้ผลดี
การเล่นกล้ามหลังด้วยท่า T-Bar Row ควรทำทั้งหมด 3-4 เซต โดยแบ่งเป็น
- เซตแรก น้ำหนักเบา 12-15 ครั้ง เน้นการวอร์มอัพและการรู้สึกถึงกล้ามเนื้อ
- เซตที่สอง น้ำหนักปานกลาง 10-12 ครั้ง
- เซตที่สาม-สี่ น้ำหนักหนัก 8-10 ครั้ง
พักระหว่างเซต 90-120 วินาที ควรทำท่านี้หลังจาก Deadlift และ Barbell Row เพราะเป็นท่าที่ใช้กล้ามเนื้อในลักษณะคล้ายกัน
นอกจากนี้ การปรับระดับความสูงของการดึงบาร์ (ดึงมาที่หน้าอกหรือหน้าท้อง) จะช่วยให้กระตุ้นกล้ามหลังในมุมที่แตกต่างกัน สามารถสลับกันได้ในแต่ละครั้งที่ฝึก
4. Pendlay Row
Pendlay Row เป็นรูปแบบเฉพาะของท่าเล่นหลังที่พัฒนาโดย Glenn Pendlay โค้ชยกน้ำหนักชื่อดัง ท่านี้แตกต่างจาก Barbell Row ทั่วไปตรงที่ต้องวางบาร์ลงบนพื้นหลังจบแต่ละครั้ง ทำให้การสร้างกล้ามเนื้อหลังเป็นไปอย่างเข้มข้นมากขึ้น และยังช่วยพัฒนาพลังในการดึงได้ดี
วิธีการเล่นที่ถูกต้อง
ยืนหน้าบาร์เบลที่วางอยู่บนพื้น เท้าห่างกันประมาณความกว้างสะโพก จับบาร์ด้วยท่าคว่ำมือ กว้างกว่าไหล่เล็กน้อย โน้มตัวลงจนลำตัวขนานกับพื้น หลังตรง สะโพกสูงกว่าเข่าเล็กน้อย
หายใจเข้าลึกๆ เกร็งแกนกลางลำตัว จากนั้นดึงบาร์ขึ้นอย่างรวดเร็วแต่ควบคุมได้ โดยให้บาร์แตะที่ส่วนล่างของหน้าอก บีบกล้ามหลังให้แน่นในจุดสูงสุด หายใจออก แล้วปล่อยบาร์ลงสู่พื้นอย่างควบคุม รอให้บาร์หยุดนิ่งสนิทก่อนเริ่มครั้งต่อไป
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยและวิธีแก้ไข
การเล่นหลังท่านี้มักพบปัญหาการยกสะโพกขึ้นขณะดึงบาร์ วิธีแก้ไขคือการลดน้ำหนักและฝึกการรักษาตำแหน่งลำตัวให้นิ่ง จินตนาการว่ามีเชือกดึงสะโพกไว้กับพื้น
อีกปัญหาคือการดึงบาร์ไม่สูงพอจนแตะอก มักเกิดจากการใช้น้ำหนักมากเกินไป วิธีแก้ไขคือการเริ่มต้นด้วยน้ำหนักที่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวได้อย่างสมบูรณ์
เคล็ดลับการเล่นให้ได้ผลดี
การเล่นกล้ามหลังด้วยท่า Pendlay Row ควรทำดังนี้:
- เซตวอร์มอัพ บาร์เปล่า 10-12 ครั้ง
- เซตที่สอง น้ำหนัก 60% 8-10 ครั้ง
- เซตที่สาม-สี่ น้ำหนัก 70-80% 5-8 ครั้ง
พักระหว่างเซต 2-3 นาที เนื่องจากเป็นท่าที่ต้องใช้พลังในการดึงสูง ควรทำท่านี้ในช่วงต้นของการเล่นหลัง เพราะต้องการความสดของกล้ามเนื้อ
สิ่งสำคัญคือต้องให้บาร์แตะพื้นและหยุดนิ่งทุกครั้ง เพื่อตัดแรงเหวี่ยงและทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนักในทุกครั้งที่ดึง
ท่าเล่นหลังที่ใช้น้ำหนักตัวหรือบอดี้เวท
การเล่นหลังด้วยน้ำหนักตัวเป็นอีกทางเลือกที่มีประสิทธิภาพในการสร้างกล้ามเนื้อหลัง โดยไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ราคาแพง ท่าเหล่านี้ยังช่วยพัฒนาการทรงตัวและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางไปพร้อมกัน
1. Pull-up
Pull-up เป็นท่าเล่นหลังระดับตำนานที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในท่าที่ดีที่สุดสำหรับการพัฒนากล้ามเนื้อปีกหลัง ตามการศึกษาในวารสาร Sports Biomechanics พบว่า Pull-up สามารถกระตุ้นกล้ามเนื้อ Latissimus Dorsi ได้มากถึง 117% เมื่อเทียบกับการหดตัวสูงสุดของกล้ามเนื้อในการทดสอบแบบ EMG
วิธีการเล่นที่ถูกต้อง
เริ่มจากการจับบาร์โหนด้วยท่าคว่ำมือ มือกว้างกว่าไหล่เล็กน้อย ปล่อยให้แขนเหยียดตรง ขาเหยียดหรืองอเข่าเล็กน้อย หายใจเข้าลึกๆ จากนั้นเกร็งกล้ามหลังและดึงตัวขึ้น โดยพยายามให้หน้าอกแตะบาร์หรือใกล้เคียง หายใจออกขณะดึงตัวขึ้น
ในจุดสูงสุด บีบสะบักเข้าหากันและรู้สึกถึงการหดตัวของกล้ามเนื้อหลัง จากนั้นค่อยๆ ลดตัวลงอย่างควบคุม โดยให้กล้ามหลังต้านแรงโน้มถ่วง ไม่ปล่อยให้ตัวร่วงลงอย่างรวดเร็ว
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยและวิธีแก้ไข
หนึ่งในปัญหาที่พบบ่อยคือการใช้แรงเหวี่ยงจากขาหรือลำตัวช่วยในการดึงตัว วิธีแก้ไขคือการเกร็งแกนกลางลำตัวให้นิ่ง และถ้ายังทำไม่ได้ ให้เริ่มจากการใช้ยางช่วยหรือทำท่า Negative Pull-up (เน้นช่วงลดตัวลง) ก่อน
อีกปัญหาคือการไม่ดึงตัวขึ้นจนสุด หรือลดตัวลงไม่สุดช่วง วิธีแก้ไขคือการฝึกทำช้าๆ และตั้งใจทำให้ครบช่วงการเคลื่อนไหวในทุกครั้ง
เคล็ดลับการเล่นให้ได้ผลดี
สำหรับผู้เริ่มต้น
- เริ่มจาก Negative Pull-up (เน้นการลดตัวลงช้าๆ)
- ใช้ยางช่วยในการดึงตัว
- ทำ 2-3 เซต เท่าที่ทำได้
สำหรับผู้ที่ทำได้แล้ว
- 4-5 เซต เซตละ 6-12 ครั้ง
- เพิ่มความท้าทายด้วยการถ่วงน้ำหนัก
- ทดลองเปลี่ยนความกว้างของมือเพื่อกระตุ้นกล้ามหลังในมุมต่างๆ
2. Inverted Row
Inverted Row หรือที่บางคนเรียกว่า Body Row เป็นท่าเล่นหลังที่เหมาะสำหรับทุกระดับ โดยเฉพาะผู้ที่ยังทำ Pull-up ไม่ได้ ท่านี้ช่วยพัฒนากล้ามหลังส่วนกลางได้ดี และยังเป็นการฝึกที่ปลอดภัยเพราะไม่ต้องยกตัวสูงจากพื้นมากนัก
วิธีการเล่นที่ถูกต้อง
วางบาร์ในระดับต่ำ (สามารถใช้บาร์ Smith Machine หรือโต๊ะที่แข็งแรงได้) นอนหงายใต้บาร์ จับบาร์ด้วยท่าคว่ำมือ กว้างกว่าไหล่เล็กน้อย ยืดตัวให้ตรง เท้าวางราบกับพื้น (ยิ่งยกเท้าสูงจะยิ่งยากขึ้น)
เริ่มดึงตัวขึ้นโดยเกร็งกล้ามเนื้อหลัง พยายามให้หน้าอกแตะบาร์ บีบสะบักเข้าหากันในจุดสูงสุด หายใจออกขณะดึงขึ้น จากนั้นค่อยๆ ลดตัวลงอย่างควบคุม หายใจเข้าขณะลดตัว รักษาลำตัวให้ตรงตลอดการเคลื่อนไหว
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยและวิธีแก้ไข
ปัญหาที่พบบ่อยในการเล่นหลังท่านี้คือการแอ่นหลังมากเกินไป ทำให้สะโพกตก วิธีแก้ไขคือการเกร็งท้องและก้นตลอดการเคลื่อนไหว จินตนาการว่าร่างกายเป็นแผ่นไม้แข็งๆ หนึ่งแผ่น
อีกปัญหาคือการไม่ดึงตัวขึ้นให้สูงพอ วิธีแก้ไขคือการปรับระดับบาร์ให้สูงขึ้น เพื่อลดน้ำหนักที่ต้องดึง หรือเริ่มจากการดึงครึ่งช่วงการเคลื่อนไหวก่อน
เคล็ดลับการเล่นให้ได้ผลดี
การสร้างกล้ามเนื้อหลังด้วยท่า Inverted Row สามารถปรับความยากง่ายได้หลายวิธี
สำหรับผู้เริ่มต้น
- วางบาร์สูงขึ้นเพื่อลดน้ำหนักที่ต้องดึง
- งอเข่าเพื่อลดความยาวของคานงัด
- ทำ 3 เซต เซตละ 8-12 ครั้ง
สำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มความท้าทาย
- ยกเท้าสูงขึ้นหรือวางบนม้านั่ง
- เพิ่มน้ำหนักบนหน้าอก
- ทำ 4 เซต เซตละ 12-15 ครั้ง
พักระหว่างเซต 60-90 วินาที และควรทำท่านี้หลังจาก Pull-up เพราะใช้กล้ามเนื้อในลักษณะคล้ายกัน
3. Superman Hold
Superman Hold เป็นท่าเล่นหลังที่เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพสูงในการพัฒนากล้ามหลังล่าง และกล้ามเนื้อ Erector Spinae ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่ทอดยาวตามแนวกระดูกสันหลัง ท่านี้เหมาะสำหรับการเสริมความแข็งแรงของหลังและป้องกันอาการปวดหลัง
วิธีการเล่นที่ถูกต้อง
นอนคว่ำราบกับพื้น แขนเหยียดตรงไปด้านหน้าเหนือศีรษะ ขาเหยียดตรง หายใจเข้าลึกๆ เตรียมตัว จากนั้นยกแขนและขาขึ้นจากพื้นพร้อมกัน โดยให้หน้าอกและต้นขายกขึ้นเล็กน้อย เกร็งกล้ามเนื้อหลังทั้งแผ่น
ในท่ายก พยายามยืดแขนและขาให้ยาวที่สุด เหมือนกำลังพยายามเอื้อมไปให้ไกลที่สุด ค้างไว้ 10-30 วินาที (หรือตามความแข็งแรง) หายใจเข้าออกตามปกติขณะค้างท่า จากนั้นค่อยๆ ลดแขนและขาลงพัก
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยและวิธีแก้ไข
ปัญหาที่พบบ่อยคือการพยายามยกตัวสูงเกินไป ทำให้เกิดแรงกดที่มากเกินไปที่หลังส่วนล่าง วิธีแก้ไขคือการยกตัวเพียงเล็กน้อย เน้นที่การเกร็งกล้ามหลังมากกว่าความสูงของการยก
อีกปัญหาคือการกลั้นหายใจขณะค้างท่า วิธีแก้ไขคือการฝึกหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ และลดเวลาในการค้างท่าลงหากรู้สึกว่าควบคุมการหายใจไม่ได้
เคล็ดลับการเล่นให้ได้ผลดี
การเล่นกล้ามหลังด้วยท่า Superman Hold ควรทำดังนี้
สำหรับผู้เริ่มต้น
- ค้างท่า 10 วินาที
- ทำ 3 เซต พัก 30 วินาทีระหว่างเซต
- สามารถเลือกยกแค่แขนหรือขาก่อนได้ถ้ายังทำท่าเต็มไม่ไหว
สำหรับผู้ที่แข็งแรงขึ้นแล้ว
- เพิ่มเวลาค้างท่าเป็น 20-30 วินาที
- ทำ 4-5 เซต พัก 45-60 วินาทีระหว่างเซต
- เพิ่มความท้าทายด้วยการทำท่าพัลส์ (ยกขึ้นลงเล็กน้อย) ขณะค้างท่า
ควรทำท่านี้ในช่วงท้ายของการเล่นหลัง เพื่อเป็นการกระตุ้นกล้ามหลังส่วนล่างเป็นพิเศษ
บทสรุป
การเล่นหลังให้ได้ผลไม่ใช่เรื่องยาก หัวใจสำคัญอยู่ที่การเลือกท่าเล่นหลังให้เหมาะกับอุปกรณ์ที่มีและระดับความแข็งแรงของคุณ เริ่มจากการฝึกท่าเล่นหลังพื้นฐานด้วยน้ำหนักเบาเพื่อสร้างพื้นฐานที่ดี จากนั้นค่อยๆ เพิ่มน้ำหนักและความซับซ้อนของท่าฝึก
สำหรับผู้ที่เริ่มต้นเล่นกล้ามหลัง แนะนำให้เริ่มจากการฝึกท่า Lat Pulldown และ Seated Cable Row เพื่อสร้างความคุ้นเคยกับการควบคุมน้ำหนักและการรู้สึกถึงกล้ามเนื้อหลัง เมื่อควบคุมท่าได้ดีแล้ว จึงค่อยเพิ่มท่า Deadlift และ Barbell Row เข้ามาเพื่อสร้างกล้ามเนื้อหลังที่แข็งแรงมากขึ้น
การเล่นหลังควรทำ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยในแต่ละครั้งเลือกทำ 4-5 ท่า ท่าละ 3-4 เซต เน้นการทำซ้ำ 8-12 ครั้งต่อเซตสำหรับการสร้างกล้ามเนื้อ หรือ 4-6 ครั้งต่อเซตสำหรับการสร้างความแข็งแรง พักระหว่างเซต 1-2 นาที และที่สำคัญคือต้องเพิ่มน้ำหนักอย่างต่อเนื่องเมื่อรู้สึกว่าท่าเดิมเริ่มง่ายเกินไป
ผลลัพธ์ที่ชัดเจนจะเห็นได้ภายใน 8-12 สัปดาห์หากฝึกอย่างสม่ำเสมอ โดยจะสังเกตได้จากความกว้างของกล้ามเนื้อปีกหลังที่เพิ่มขึ้น ความหนาของกล้ามหลังที่มากขึ้น และความสามารถในการยกน้ำหนักที่พัฒนาขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม การเล่นหลังอย่างถูกวิธีไม่เพียงสร้างกล้ามเนื้อที่สวยงาม แต่ยังช่วยป้องกันอาการปวดหลังและปรับปรุงท่าทางในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ